โดยสาเหตุและปัจจัยที่ส่งผลต่อน้ำมันแพงขึ้นในรอบนี้ ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศยูเครน-รัสเซีย ที่ดูเหมือนจะเกิดการปะทะเป็นสงครามอยู่เนือง ๆ
รัสเซีย ที่เป็นประเทศที่ผลิตน้ำมันรายใหญ่เป็นอันดับ2ของโลกนั้น และยังเป็นแหล่งสำคัญในการจัดส่งก๊าซธรรมชาติให้กับภาคพื้นยุโรปที่เป็นคู่ขัดแย้งกัน ซึ่งหากมีเกิดปะทะกันเกิดขึ้น อาจส่งผลให้เกิดปัญหาด้านซัพพลายของตลาดน้ำมันโลกได้ในทันที และรวมไปถึงในอนาคตโลกอาจจะเกิดภาวะขาดแคลนน้ำมันขึ้นก็เป็นได้ครับ
หรือหากในทางตรงกันข้าม ความขัดแย้งระหว่างประเทศนั้นเกิดสถานการณ์คลี่คลายไปได้ด้วยดี ราคาน้ำมันอาจไม่ลดลงอย่างที่คาดการณ์ไว้ เพราะยังมีอีกหลายสาเหตุที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นในตลอดปีนี้ ซึ่งสาเหตุหลัก คือ เรื่องศักยภาพสำรองในการผลิตน้ำมันของบรรดา ผู้ผลิตน้ำมันดิบป้อนตลาดโลกทั้งหลาย
‘เจพี มอร์แกน’ ได้ออกมาวิเคราะห์และประกาศเตือนในต้นเดือนมกราคมไว้ว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนต์อาจทะลุขึ้นไปอยู่ในระดับ 125 ดอลลาร์ โดยมีปัจจัยสำคัญที่สุดที่ผลักดันให้ราคากระฉูดต่อเนื่องก็คือ ความต้องการบริโภคน้ำมัน และเมื่อความต้องการเพิ่มมากขึ้น แต่กำลังการผลิตกลับลดลง ผลลัพธ์ก็คงจะหนีไม่พ้นราคาน้ำมันแพงขึ้นแน่นอน
แม้จะมีสาเหตุหรือปัจจัยอื่นๆมาประกอบด้วย ก็ไม่ได้ช่วยกดดันให้ราคาน้ำมันดิบลดลง แม้การแพร่ระบาดของโควิด-19 กำลังถูกมองว่าจะเริ่มคลี่คลายและซาลงไป ขณะที่ภาวะอากาศหนาวขั้นสุดในยุโรปและสหรัฐอเมริกาที่ผ่านมา ก็ยิ่งทำให้ให้ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นอีก รวมไปถึงพลังงานทางเลือกทั้งหลาย ที่ยังไม่สามารถจะมาทดแทนน้ำมันได้ในขณะนี้
หากโลกต้องเผชิญหน้ากับ ‘ภาวะน้ำมันแพง’ สถาณการ์ณที่จะเกิดขึ้นคือทำให้ข้าวของและสินค้าบริการต่างๆแพงขึ้นตามไปด้วย แถมน้ำมันดิบที่ราคาปัจจุบันนี้ อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ที่ไม่มีรัฐบาลหรือประเทศไหนต้องการ พร้อมกับภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรุนแรงในช่วงนี้ เราเองก็ต้องเตรียมพร้อมรับมือให้ทันท่วงทีตั้งแต่นี้เป็นต้นไปครับ