อีก 2 ปีต่อมาของโลกคริปโตเคอเรนซี่ต้องเจอกับสภาวะที่เรียกได้ว่าเป็นตลาดหมี หรือว่าแนวโน้มขาลงมาตลอดจะหลายคนมองว่ามันจะตายแล้วกันไปหลายรอบด้วยกัน
แต่ทว่า Bitcoin และคริปโตเคอเรนซี่ก็ได้พิสูจน์แล้วว่ามันจะยังไม่ตายในเร็ววันนี้และยังมีแนวโน้มที่ดีมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกด้วยในปี 2020
โดยในปีนี้เองที่ดูจะมีหลาย ๆ อย่างที่ดีเป็นอย่างมากเกิดขึ้นกับโลกคริปโตเคอเรนซี่ที่จะส่งผลกระทบในแง่บวกได้หลายต่อหลายอย่างและเป็นปีแห่งการรอคอยของนักเทรดคริปโตเคอเรนซี่ทั้งหลายที่ต้องตรากตรำอยู่กับความโหดร้ายของตลาดมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งจากที่วิทยานิพนธ์ของนาย Ray Dalio ที่รวบรวมมานั้นเราจะแบ่งได้เป็น 14 พัฒนาการที่จะส่งผลต่อโลกคริปโตเคอเรนซี่และราคาของพวกมันจะมีอะไรบ้างไปดูกันเลยครับ
การเข้ามาในตลาดของนักลงทุนสถาบัน
1.นักลงทุนทุกคนสามารถเข้ามาในตลอดได้
โดยเริ่มแรกนั้นนาย Ray Dalio ได้วางโครงร่างวิทยานิพนธ์ของเขาไว้ว่า
“คำถามที่สำคัญก็คือในเวลานี้การลงทุนไหนที่จะสำคัญและได้ผลตอบแทนที่ดีสุด กับบรรยากาศของสภาแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ตกต่ำ มีหนี้สินจำนวนมาก ไหนจะยังมีความขัดแย้งระหว่างนายทุนกับระบบสังคมนิยมที่รู้กันดีอยู่แล้วว่ามันคือปัญหาภายในของแทบจะทุกประเทศ
นี้จึงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะถามว่าอะไรจะเป็นสกุลเงินที่ดีที่สุด หรืออะไรจะเป็นสิ่งที่บอกถึงความมั่งคั่งได้ดีที่สุดในขณะที่ธนาคารกำลังลดทุนสำรองส่วนใหญ่ที่เป็นเงิน Fiat ออกไป จากระบบ ”
โดยผลสรุปของนาย Ray Dalio คือการให้ซื้อทองคำในตอนนั้นแต่เชื่อว่าในปี 2020 นี้ผมเชื่อว่านักลงทุนกองทุนรายใหญ่ทั้งหลายที่เป็น Hedge Fund รวมถึงตัวของนาย Ray Dalio ด้วยแล้วมีความเป็นไปได้ที่สูงมากที่จุดถือ Bitcoin ไม่มากก็น้อยเช่นกัน
2. ผู้จัดการกองทุนสินทรัพย์ดั้งเดิมจะกระโดดเข้ามาในตลาด
จากการสำรวจของทางด้าน State Street ระบุว่าลูกค้าของพวกเขามีสินทรัพย์ดิจิตอลหรือผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องมากถึง 94เปอร์เซ็นต์ด้วยกัน และการสำรวจจากกองทุน endowment funds ที่ 94เปอร์เซ็นต์ ของลูกค้าโดยระบุว่าพวกเขาลงทุนในสินทรัพย์ดิจิตอลในปีที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัดเจน
โดยเราคาดหวังว่า traditional asset managers ประเภทนี้จะยังมมีความสนใจที่แน่วแน่และมากขึ้นไปอีกในโลกของคริปโตเคอเรนซี่ตลอดทั้งปี 2020 แต่อย่าคาดหวังว่าจะมีเงินทุนไหลเข้าจำนวนมากจากส่วนนี้นักตามความเป็นจริง
เหตุผลหลักเงินทุนที่ไม่ไหลเข้ามามากอันเนื่องมากจากการจัดการพอร์ตของบางคนอาจจะยังไม่ดีพอสำหรับที่จะให้นักลงทุนมอบเงินก้อนใหญ่ให้กับพวกเขาในการจัดการเท่าที่ควรจากผลงานในช่วงหลายปีที่ผ่านมาที่ตลาดเป็นขาลง
ปัจจุบันคริปโตเคอเรนซี่ ยังคงเป็นการลงทุนเสี่ยงอยู่เป็นอย่างมาก หากผู้จัดการพอร์ตลงทุนมีความรู้ไม่มากพอในการลงทุนกับ crypto แต่ในทางตรงกันข้ามหากพวกเขาทำได้ดีพวกเขาอาจได้รับโบนัสที่เหนือความคาดหมายเป็นการตอบแทน
อย่างไรก็ตามหากมันเป็นไปได้ไม่ดีเท่าที่ควรนักหรือถูกขโมยเงินจากบรรดา Hacker ทั้งหลายทั้งจากเว็บเทรดหรืออื่น ๆ บรรดาเหล่า traditional asset managers ทั้งหลายก็จะถูกเตะออกทันทีแบบไร้เยื้อใยจากความผิดครั้งนี้
3. การลงทุนจากรายย่อย
ในตอนนี้ดูเหมือนว่า การซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า Bitcoin เติบโตขึ้นการซื้อขาย Altcoin ลดลง
สำหรับนักเทรดรายย่อยทั้งหลายที่กำลังมองหาการเติบโตที่รวดเร็วร้อนแรงนั้นการมองไปที่ Altcoin ดูจะเป็นอีกตัวเลือกที่น่าใจไม่น้อย
แต่ในตอนนี้ Altcoin ทั้งหลายต่างลดระดับลงมาจากจุดยอดของพวกมันกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ และดูมีที่ท่าที่ยังคงยากลำบากมาก หลาย ๆ คนเริ่มโยกย้ายไปยังตลาดของ Bitcoin Future แทนอย่างเห็นได้ชัดซึ่งเชื่อว่าสินทรัพย์ดังกล่าวจะไม่มีทางเป็น 0 ในเร็ววันนี้
โดยพวกเรามีความคาดหวังกันว่าปริมาณการซื้อขายบนตลาดที่ทาง กลต ของอเมริกายอมรับและควบคุมอย่างเช่น CME หรือ Bakkt จะมีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ในเเง่ของตลาดโลกนั้นจะมีมากกว่าสำหรับนักเทรดรายย่อยอย่างเช่นที่ BitMEX แบบไม่ต้องสงสัย
4. การสะสมเหรียญที่มากขึ้น
ในขณะที่การซื้อขายแบบ Future ดูจะเป็นทางหนึ่งที่ดีมาก ๆ อยู่แล้ว แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญมาก ๆ ก็คือการสะสมคริปโตเคอเรนซี่ไว้หรือการ Hold ที่ดูจะเป็นตัวเลือกที่ดีไม่ต่างกันมากนักและทำให้เติบโตอย่างง่ายดาย
ในปี 2020 นั้นจะมี 2 ทางเลือกที่อาจจะเกิดขึ้นได้นั้นก็คือ 1 ความสามารถในการรับเงินคริปโตเคอเรนซี่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสำหรับการทำการค้าแบบรายย่อยทั้งหลายอันเนื่องมากจากบริษัทค้าขายออนไลน์ และบริการชำระเงินมีบริการชำระด้วยคริปโตเคอเรนซี่เข้ามาเกี่ยวข้อง 2 การถือครองคริปโตเคอเรนซี่เพื่อเอาดอกเบี้ยจากที่ต่าง ๆ เช่น BlockFi, Celsius และ Voyager
5. การจัดการภาษีคริปโตที่ดีขึ้น
ภาษี คริปโตเคอเรนซี่เป็นอีกหนึ่งในหายนะที่ไม่เพียงเกิดขึ้นกับหลาย ๆ เว็บเทรดในช่วงเวลาที่ผ่านมา และยังทำให้นักลงทุนทั้งหลายต่างงุนงงกับวิธีการจ่ายภาษีที่ไม่จำเป็นหรือไม่มีการลดหย่อนภาษีต่าง ๆ ได้เลยด้วย
แต่สำหรับกองทุนส่วนตัวหรือการใช้ robo-advisors จะสามารถลดหย่อยภาษีได้ในภายภาคหน้าสำหรับการลงทุนแบบรายย่อย และในปี 2020 มันกำลังจะเข้ามาถึงคริปโตเคอเรนซี่อย่างแน่นอน และจะมีการจัดเก็บภาษีที่เป็นธรรมและจริงจังได้มากขึ้น
โครงสร้างของตลาด
6. ตลาดซื้อขายหรือ Exchange มีน้อยลง แต่ Broker เพิ่มมากขึ้น
อย่างที่เราทราบกันดีว่าจำนวนของเว็บเทรดต่าง ๆ มีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในไม่กี่ปีที่ผ่านมา ในปี 2020 นั้น ซึ่งถูกมองว่ามีหลายเจ้าที่เป็นรายย่อยหรือธุรกิจที่สร้างขึ้นมาเพื่อหลอกลวงนั้นจะค่อย ๆ ตายตกจากกันไปในเร็ววัน และจะคงเหลือเพียงแต่เว็บเทรดที่เป็นตัวจริงและอยู่รอดซึ่งจะมีจำนวนไม่มากนักที่เหลือรอดทั้งในแง่ของสภาพคล่อง นักเทรดและอื่น ๆ
ซึ่งคาดกันว่าบรรดานักลงทุนหรือลูกค้าทั้งหลายจะต้องการบริการที่ยอดเยี่ยมซึ่งเป็นสิ่งที่ Broker สามารถทให้ได้และยังมีสภาพคล่องที่ใหญ่มาก ๆ เมื่อเทียบกับเว็บเทรดทั้งหลาย จึงเป็นอีกทางเลือกที่เชื่อว่าจะต้องเกิดขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
7. บริการด้านผู้เก็บเหรียญมีมากขึ้น
ต่อเนื่องจากเรื่องราวข้างบนที่พูดถึงเว็บเทรดต่าง ๆ กับ Broker ที่กำลังจะเข้ามานั้นพวกเขาเหล่านี้จะมีการใช้หรือจ้างผู้ดูแลภายนอกเข้ามามากขึ้นอย่างเห็นได้เพื่อให้สามารถมุ่งเน้นไปที่ความปลอดภัยของลูกค้า
ซึ่งการจ้างผู้ช่วยเก็บเหรีญที่จะเข้ามาช่วยดูแลในเรื่องนี้และทำให้ลูกค้าได้รับบริการที่ดีที่สุดไป นำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพของเงินลทุนในทรัพย์สินและมีลูกค้ารายใหญ่เข้ามาในโลกของคริปโตเคอเรนซี่เข้ามามากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
นอกจากนี้แล้วยังมาการเกิดวิธีแก้ปัญหาในยามฉุกเฉินแล้วพวกเขายังมีวิธีรีบมือและกำลังพัฒนามันให้ดีขึ้นในปี 2020 เพื่อให้นักลงทุนทั้งหลายมั่นใจได้มากขึ้น
8. ธนาคารจะเข้าใจและมาลงทุนในคริปโต Cryptocurrency มากขึ้น
อย่างที่รู้กันดีว่าธนาคารส่วนใหญ่นั้นยังคงมีท่าทีก้ำกึ่งระหว่างสนใจกับไม่สนใจในโลกของคริปโตเคอเรนซี่ค่อนข้างมาก และมีท่าทีว่าจะดูต่อไปเรื่อย ๆ ไปอีกสักพัก
แต่เชื่อว่าตอนนี้แนวโน้มของปี 2020 จะเป็นไปค่อนข้างดีมากขึ้น และธนาคารต่าง ๆ จะเป็นตัวช่วยในการขับเคลื่อนวงการคริปโตเคอเรนซี่และลดช่องว่างระหว่างคริปโตกับนักลงทุนรายย่อยได้อีกมาก รวมถึงการขยายตัวที่มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหากธนาคารเริ่มเปิดรับมันมากขึ้นเพราะจะมีลูกค้าอีกมากมายที่ไม่เข้าใจเทคโนโลยีแต่รับคำแนะนำการลงทุนที่เหมาะสม
9. ตลาดสินเชื่อจะเติบโตขึ้น
ตลาดการให้ยืม หรือกูเงินคริปโตเคอเรนซี่เป็นอะไรที่เฟื่องฟูมาก ๆ ในช่วงปี 2019 โดยอย่างเช่นบริษัท Genesis, BlockFi และ Celsius
โดยบริการดังกล่าวเป็นที่นิยมมาก ๆ ในโลกของคริปโตเคอเรนซี่และยังมีการเติบโตและขยายตัวอย่างไม่หยุดยั้งมาตลอดซึ่งในปี 2020 นี้ก็คงจะไม่ต่างกันมากนัก คาดว่าจะมาจากการที่ นักลงทุนยืมเงินที่ไม่มากพอขอตัวเองไปเล่นในการ Short หรือการใช้คริปโตเคอเรนซี่เป็นหลักประกันในการกู้เงินดอลลาร์
10 . ความเสี่ยงที่สูงขึ้น
โดยเรื่องดังกล่าวนั้นการจากความเสี่ยงหลาย ๆ อย่างทั้งจากการแฮ็คเว็บเทรดที่อาจจะทำให้เกิดความผัวผวนแบบที่ผ่านมาได้ หรือเกิดจากการทำธุรกรรมต่าง ๆ เช่นของ Bitfinex และ Crypto Capital debacle ซึ่งจะเป็นที่ต้องตั้งใจจับดูกันไว้มาก ๆ ในปัจจุบัน
หรือความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระโดยผู้กู้ Crypto ทั้งหลายที่ไม่มีการแบ่งวงที่ดีพอและจากการสัญญาโดยตรงต่าง ๆ เช่นที่ Herstatt Risk ก็อาจจะมีสัญญาที่ผันผวนได้ไม่มากก็น้อยเช่นกัน
สิ่งเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะมีไม่ใหญ่มากเมื่อเทียบกับความรู้ของผู้คนในตลาดที่เริ่มฉลากขึ้นและมีวิธีการป้องกันสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างถูกต้องจากประสบการณ์ที่ผ่านมา
เหรียญ Stablecoin
11. USD Market Stablecoin เร่งยอดขายและปริมาณ
ความยืดหยุ่นอีกอย่างที่น่าทึ่งของ Tether หรือ USDT เลยก็คือ มันมีความต้องอย่างไม่มีที่สิ้นสุดและดูจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างเห็นได้ชัด เพราะผู้คนต้องการใช้มันในการเทรดและรักษามูลค่าของเงินไว้ใช้ในการเทรดครั้งต่อไป
แม้จะมีความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบต่าง ๆ ที่ทาง USDT เคยโดนและยังคงมีคำครหาอยู่แต่ก็เชื่อได้ว่าพวกมันจะยังคงเรียกเงินจากนักลงทุนมาได้อย่างต่อเนื่องและเติบโตอย่างแน่นอนตลอดทั้งปี 2020
ตลาด USD stabilcoin ที่ได้รับการสนับสนุนเช่น USDC, TUSD, PAX จะได้มีการเติบโตอย่างมากไม่ต่างกับ USDT พี่ใหญ่ด้วยเช่นกัน (แม้ว่าจะมีผู้ใช้งานไม่ค่อยมากนัก) เนื่องจากพวกมันเองก็มีหน้าที่ไม่ต่างกับ USDT ที่ใช้ในการ โอน รับ ส่ง ที่มีมูลค่าคงที่และผันผวนน้อยผู้คนจึงเลือกที่จะใช้กันและเป็นอีกตัวเลือกที่ดีไม่น้อย นี่จึงเป็นตำแหน่งที่น่าสนใจที่อยู่ระหว่าง Silvergate Exchange Network (เครือข่ายปิดที่มีการควบคุม + ปิด) และ Tether (เครือข่ายที่ไม่มีการควบคุม + เปิด)
12. Stablecoin ในระดับนานาชาติเติบโตมากขึ้น
พวกเราคาดหวังกันได้ว่าการสร้างความมั่นคงให้กับสกุลเงินหลักอื่น ๆ จะเริ่มได้รับความสนใจจากความเคลื่อนไหวของการเงินที่เปิดกว้างสำหรับสกุลเงินเหล่านั้น
ในระยะยาวสิ่งที่น่าสนใจมากคือตลาดที่มีสภาพคล่องระหว่างสกุลเงินต่าง ๆ และให้ตลาด FX ที่มีประสิทธิภาพทั่วโลกตลอด 24 ชั่วโมงทุกวันซึ่งทุกคนสามารถเข้าถึงได้ (หลีกเลี่ยงระบบธนาคาร) ในที่สุดซึ่งคาดหวังว่า market cap ของ stablecoins จะมากกว่า bitcoin ในอนาคตเสียด้วยซ้ำ
13. สกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC)
ดูเหมือนว่า สกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) นั้นจะมีความแตกต่างกับ Stablecoin อื่น ๆ อย่าง USDC ซึ่งพวกมันจะมีการบันทึกทุกธุรกรรมที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะของรายย่อยหรือธุรกิจเป็นแบบรวมศูนย์ไปที่ธนาคารกลางซึ่งมีไม่กี่ที่ที่สามารถทำแบบนี้ได้เช่นจีน
โดยคาดกันว่าปี 2020 มันคงจะยังไม่สมบูรณ์พร้อมดีที่จะนำมาใช้ได้จริงแต่คงมีพัฒนาการที่มาก และคาดหวังว่าในปี 2021 จะได้ให้มันเป็นรูปเป็นร่างที่มากขึ้น
ตลาดเกิดใหม่
14. การปรับตัวสู่ตลาดที่เกิดใหม่มีมากขึ้น
ตลาดที่เกิดใหม่นั้นยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง การยอมรับสินทรัพย์ crypto ในตลาดที่มีอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและจะดำเนินต่อไป คำถามที่น่าสนใจคือใครระหว่าง bitcoin หรือ Stable Coin จะเป็นผู้ชนะหลักในภูมิภาคเหล่านี้