ท่ามกลางสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังดูไม่คลี่คลาย และการล็อกดาวน์ตามมาตรการป้องกัน Covid-19 ส่งผลให้ตลาดมีความผันผวนสูง และทำให้อัตราเงินเฟ้อเกิดขึ้นในหลาย ๆ ประเทศ
โดยล่าสุด ทางธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ระบุใน Beige Book (เผยแพร่ 20 เมษายน 2565) ว่า อัตราเงินเฟ้อที่รุนแรง และยังไม่มีสัญญาณว่าจะลดระดับลง กระตุ้นให้ราคาพลังงาน โลหะ และสินค้าเกษตรพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายหลังจากการรุกรานรัสเซียของยูเครน และการล็อกดาวน์จาก Covid-19 ในประเทศจีน ทำให้ห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงักลง
เฟดได้กล่าวเสริมในรายงานเศรษฐกิจของ Beige Book โดยอ้างอิงจาก ข้อมูลที่รวบรวมจากธนาคารสำรอง 12 แห่งของเฟดว่า “ตั้งแต่รายงานครั้งล่าสุด (มีนาคม 2565) แรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ยังคงมีความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทต่าง ๆ ได้ผลักให้ลูกค้าต้องจ่ายค่าต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว” เฟดยังรายงานเสริมว่า “เศรษฐกิจขยายตัวอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อเทียบกับเบื้องหลังภาวะเงินเฟ้อที่แนวโน้มสูงกว่า”
อย่างไรก็ดี ในรายงานระบุว่า บริษัทต่าง ๆ สามารถส่งต่อต้นทุนการผลิตให้กับผู้บริโภคได้ เนื่องจากอัตราการใช้จ่ายมีการเพิ่มขึ้น ผลมาจากจำนวนผู้ป่วย Covid-19 ลดลงทั่วประเทศ
จากข้อมูลของสัปดาห์ที่แล้ว แสดงให้เห็นว่า อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ปี 1981 โดยเพิ่มขึ้นกว่า 8.5% ในช่วง 12 เดือน จนถึงเดือนมีนาคม 2565
รายงานระบุ “บริษัทต่าง ๆ รายงานแก่เฟดว่า ค่าจ้างสูงขึ้นจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ และค่าจ้างที่สูงขึ้น ช่วยบรรเทาตำแหน่งว่างงานได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม มีบางรายงานได้ระบุว่า มีสัญญาณเกี่ยวกับอัตราการเติบโตของค่าจ้างเริ่มชะลอตัวลงแล้ว”
นักลงทุนกังวลว่า ด้วยแรงกดดันจากค่าจ้างที่เพิ่มสูงขึ้น จะทำให้ค่าเงินเฟ้อพุ่งสูงกว่าเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ 2% และบังคับให้เฟดต้องหันมาใช้แผนกระชับนโยบายการเงินมากขึ้น
Deutsche Bank ได้กล่าวในหมายเหตุไว้ว่า “ในเดือนพฤษภาคม 2565 เฟดได้เตรียมตลาด สำหรับการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น 50 จุดพื้นฐาน และการกำหนดราคามีความจำเป็นอย่างสูง โดยมีความเป็นไปได้ 98.1% ที่สัญญาซื้อขายล่วงหน้าจะเพิ่มขึ้น 50 จุดพื้นฐาน พร้อมกับการตึงตัวเพิ่มขึ้น 246 จุดพื้นฐานตลอดทั้งปี”
จากรายงาน Beige Book ของเฟด นักลงทุนสามารถทราบได้ว่า อัตราเงินเฟ้อยังคงพุ่งสูง และไม่มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลง ตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ในหลาย ๆ ประเทศได้มีการนำนโยบายการแก้ไขเศรษฐกิจในประเทศเข้ามาช่วย เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรที่จะศึกษาแนวโน้มและผลกระทบต่าง ๆ ทุกครั้งก่อนการลงทุน