ดัชนี PMI เป็นเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์ทิศทางของตลาด Forex ซึ่งเป็นตลาดที่มีความซับซ้อนและเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ตัวเลขดัชนี PMI หรือ Purchasing Managers' Index ช่วยติดตามสภาวะเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ว่าภาคธุรกิจของประเทศนั้นกำลังขยายตัวหรือหดตัว และสามารถประเมินผลกระทบต่อค่าเงินได้อย่างแม่นยำ ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับประโยชน์และวิธีการใช้ข้อมูล PMI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรด Forex ให้ดียิ่งขึ้นครับ
⚠️ คำเตือน! เนื้อหาในบทความเป็นเพียงการให้ความรู้เท่านั้น ไม่ได้เชิญชวนหรือแนะนำให้ท่านลงทุนในสินทรัพย์ใด ๆ ดังนั้น จึงควรใช้วิจารณญาณและพิจารณาความเหมาะสมก่อนตัดสินใจใด ๆ⚠️ |
PMI ย่อมาจาก Purchasing Managers' Index คือ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ เป็นดัชนีที่ใช้วัดความเชื่อมั่นของผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อในภาคธุรกิจต่าง ๆ โดยเฉพาะภาคการผลิตและภาคบริการ ซึ่งจะบ่งชี้ถึงเศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ
PMI มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุน นักวิเคราะห์ และประชาชนทั่วไปในการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจและการตัดสินใจทางการเงิน
ดัชนี PMI ถูกจัดทำโดยสองสถาบันหลัก สำหรับสหรัฐอเมริกา ดัชนี PMI จะจัดทำโดย ISM (Institute for Supply Management) ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่มีชื่อเสียงในการศึกษาด้านการจัดการซัพพลายเชนและการจัดซื้อ ขณะที่อีกกว่า 30 ประเทศทั่วโลกจะจัดทำโดย S&P Global (ควบรวมกับ IHS Markit ในปี 2022) ส่วนในประเทศจีน ดัชนี PMI ถูกจัดทำทั้งจากภาครัฐและเอกชน โดยสถาบัน Caixin (Caixin Media Company Ltd) ซึ่งเน้นการสำรวจจากภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก
ตัวเลขของดัชนี PMI จะใช้การสำรวจ (Survey) ผู้ประกอบการเอกชน (ผู้จัดการฝ่ายซื้อ) มากกว่า 400 บริษัท โดยเน้นไปที่การสำรวจ 5 ตัวแปรหลักดังนี้
ยอดคำสั่งซื้อใหม่
ปริมาณสินค้าคงคลัง
สายการผลิต
การส่งสินค้าซัพพลาย
การจ้างงาน
ตัวแปรนี้ใช้วัดความต้องการสินค้าและบริการใหม่จากลูกค้า บ่งชี้ถึงภาคการผลิตที่อาจขยายตัวหรือหดตัว ยอดคำสั่งซื้อใหม่ที่สูง หมายถึงเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวในอนาคต
การวัดระดับสินค้าคงคลังในบริษัท บ่งชี้ถึงการเตรียมพร้อมสำหรับการผลิตในอนาคต หากสินค้าคงคลังสูง อาจหมายถึงแนวโน้มการผลิตที่เพิ่มขึ้นตามความต้องการ
การวัดการผลิตในโรงงานและสถานประกอบการต่าง ๆ จะสะท้อนถึงประสิทธิภาพในการผลิตและการใช้งานทรัพยากรในภาคการผลิต หากสายการผลิตมีความคึกคักและมีการเติบโต ก็จะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจในภาพรวม
ตัวแปรนี้วัดความเร็วในการส่งสินค้าจากซัพพลายเออร์ หากมีความล่าช้าในการส่งมอบสินค้า อาจหมายถึงปัญหาด้านการขนส่งหรืออุปทานที่ขาดแคลน ซึ่งสามารถบ่งชี้ถึงปัญหาทางเศรษฐกิจได้
ตัวแปรนี้วัดการจ้างงานในภาคธุรกิจ โดยเฉพาะในภาคการผลิตและการบริการ การเพิ่มขึ้นของการจ้างงาน มักบ่งชี้ถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจ และช่วยสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ
PMI สามารถแบ่งออกได้หลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทจะมีความสำคัญในตลาด Forex ดังนี้
ตัวบ่งชี้นี้จะมุ่งเน้นไปที่กิจกรรมในภาคการผลิต เช่น การผลิตสินค้าทางอุตสาหกรรมหรือการผลิตเครื่องจักร หากมีการขยายตัวในภาคการผลิตเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับเศรษฐกิจ
ตัวบ่งชี้นี้จะมุ่งเน้นไปที่ภาคบริการ เช่น ธุรกิจบริการด้านการเงิน, การขนส่ง และการบริการอื่น ๆ หากภาคบริการขยายตัว จะบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจมีความแข็งแกร่ง
การรวมผลของทั้งภาคการผลิตและภาคบริการ เพื่อให้เห็นภาพรวมของเศรษฐกิจ
P1 = เปอร์เซ็นต์ของคำตอบที่มีการขยายตัว (ดีขึ้น)
P2 = เปอร์เซ็นต์ของคำตอบที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง (เหมือนเดิม)
P3 = เปอร์เซ็นต์ของคำตอบที่มีการหดตัว (แย่ลง)
ดัชนี PMI จะมีค่าอยู่ระหว่าง 0-100 ซึ่งสามารถตีความได้ดังนี้
ค่า PMI > 50: หมายความว่าเศรษฐกิจในภาคธุรกิจที่ถูกสำรวจ (เช่น การผลิตและบริการ) กำลังขยายตัว ซึ่งบ่งชี้ถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศนั้น ๆ
ค่า PMI = 50: หมายความว่าเศรษฐกิจอยู่ในภาวะทรงตัว ไม่มีการขยายตัวหรือหดตัว
ค่า PMI < 50: หมายความว่าเศรษฐกิจในภาคธุรกิจนั้น ๆ กำลังหดตัว ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงปัญหาทางเศรษฐกิจและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
นักลงทุนสามารถใช้ดัชนี PMI ในการวิเคราะห์เศรษฐกิจและตัดสินใจในการลงทุนได้ เนื่องจากจะช่วยให้เข้าใจถึงสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันและอนาคต โดยเป็นสัญญาณบ่งชี้การขยายตัวหรือหดตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภาคธุรกิจและบริการ ข้อมูลนี้สามารถนำไปใช้ในการตัดสินใจในหลายตลาด ไม่ว่าจะเป็นตลาดการเงินหรือหุ้น รวมทั้งผู้ประกอบการสามารถใช้ดัชนี PMI ในการวางแผนการผลิต การจัดหาวัตถุดิบ และการบริหารจัดการสต็อกสินค้าให้สอดคล้องกับสภาวะตลาด
นอกจากนี้ นักลงทุนยังสามารถใช้ดัชนี PMI ในการประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการหดตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อทั้งตลาดหุ้นและตลาด Forex ได้เช่นกัน
สำหรับเทรดเดอร์ในตลาด Forex การติดตามและวิเคราะห์ PMI เป็นสิ่งที่สำคัญ เนื่องจากมันสะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่สามารถส่งผลกระทบต่อค่าเงินของประเทศนั้น ๆ ได้อย่างมาก ตัวอย่างเช่น ถ้า PMI ของสหรัฐฯ แสดงถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจ นักลงทุนอาจจะคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะเติบโตต่อไป ทำให้ค่าเงินดอลลาร์ (USD) แข็งค่าขึ้น
ในทางตรงกันข้าม หาก PMI ของประเทศใดประเทศหนึ่งแสดงถึงการหดตัวของเศรษฐกิจ เทรดเดอร์อาจคาดการณ์ว่าค่าเงินของประเทศนั้น ๆ จะอ่อนค่าลง
เทรดเดอร์สามารถใช้ข้อมูล PMI ในการเทรด Forex ได้หลายวิธี เช่น
การเทรดตามข่าว: เทรดเดอร์อาจทำกำไรจากความผัวผวนตามผล PMI ที่ประกาศออกมา ตัวอย่างเช่น หาก PMI ของประเทศหนึ่งดีเกินคาด อาจวิเคราะห์ได้ว่าเงินสกุลของประเทศนั้นจะมีการแข็งค่าขึ้น ดังนั้น เทรดเดอร์อาจเลือกเปิดตำแหน่งซื้อ (Buy) ในคู่เงินที่เกี่ยวข้อง
การเทรดตามแนวโน้ม: หากค่า PMI ของประเทศหนึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เทรดเดอร์อาจคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวในระยะยาว และสามารถเปิดตำแหน่งซื้อในคู่เงินของประเทศนั้น
การเทรดตามการหดตัวของ PMI: ในกรณีที่ PMI แสดงถึงการหดตัวของเศรษฐกิจ เทรดเดอร์สามารถเปิดตำแหน่งขาย (Sell) ในคู่เงินของประเทศนั้นเพื่อทำกำไรจากการอ่อนค่าของเงิน
PMI ไม่ใช่ตัวชี้วัดเศรษฐกิจเพียงตัวเดียวในการตัดสินใจลงทุน ซึ่งการวิเคราะห์เศรษฐกิจและตลาด Forex เทรดเดอร์ยังคำนึงถึงดัชนีอื่น ๆ เช่น
GDP (Gross Domestic Product): ดัชนีนี้บ่งชี้ถึงขนาดของเศรษฐกิจ
CPI (Consumer Price Index): ใช้ในการวัดระดับเงินเฟ้อ
Unemployment Rate: อัตราการว่างงาน
Retail Sales: ยอดขายปลีก
PMI จะให้ข้อมูลที่เน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงของกิจกรรมของธุรกิจในช่วงสั้น ๆ และสามารถช่วยในการคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจในระยะสั้นได้ ขณะที่ดัชนีอื่น ๆ จะสะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจทั้งประเทศในระยะยาว อาทิ GDP หรือ CPI
โดยสามารถติดตามข่าวต่าง ๆ ได้ที่ Forex Factory
▶ PMI คือ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ
▶ PMI ย่อมาจาก Purchasing Managers' Index
▶ เมื่อค่า PMI สูงกว่า 50 หมายความว่า เศรษฐกิจในประเทศนั้น ๆ กำลังขยายตัว ซึ่งอาจส่งผลให้ค่าเงินของประเทศนั้น ๆ แข็งค่าขึ้นในตลาด Forex
▶ หากค่า PMI ต่ำกว่า 50 หมายความว่า เศรษฐกิจในประเทศนั้น ๆ กำลังหดตัว หรือมีภาวะถดถอย ซึ่งอาจส่งผลให้ค่าเงินของประเทศนั้นอ่อนค่าลงในตลาด Forex
การใช้ดัชนี PMI (Purchasing Managers' Index) เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์เศรษฐกิจของแต่ละประเทศและมีความสำคัญอย่างยิ่งในการทำนายทิศทางการเคลื่อนไหวของค่าเงินในตลาด Forex เนื่องจาก PMI สามารถสะท้อนถึงสภาพเศรษฐกิจของภาคการผลิตและบริการ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลโดยตรงต่อตลาดการเงิน โดยเฉพาะในระยะสั้น
เมื่อค่า PMI สูงกว่า 50 จะบ่งชี้ถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งมักจะช่วยเสริมความมั่นใจให้นักลงทุนและทำให้สกุลเงินของประเทศนั้นแข็งค่าขึ้น ขณะที่ค่า PMI ต่ำกว่า 50 อาจบ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจหดตัว ซึ่งอาจทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลง อย่างไรก็ตาม การใช้ PMI เพียงตัวเดียวอาจไม่เพียงพอสำหรับการตัดสินใจในการเทรด จึงควรใช้ควบคู่กับข้อมูลเศรษฐกิจอื่น ๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์
--------------------------------------------------------
สามารถศึกษาความรู้เพิ่มเติมได้จากแหล่ง ดังต่อไปนี้
อัปเดตข่าวสารการลงทุนในตลาด Forex : คลิกที่นี่
อ่านรีวิวโบรกเกอร์ยอดนิยมที่น่าใช้ : คลิกที่นี่
อ่านรีวิวโบรกเกอร์ที่ควรระวัง : คลิกที่นี่
อ่านบทความเพิ่มเติม : FXBROKERSCAM