List of content

PMI คืออะไร? ประโยชน์ของดัชนี Purchasing Managers' Index 


PMI คืออะไร? ประโยชน์ของดัชนี Purchasing Managers' Index

ดัชนี PMI เป็นเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์ทิศทางของตลาด Forex ซึ่งเป็นตลาดที่มีความซับซ้อนและเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ตัวเลขดัชนี PMI หรือ Purchasing Managers' Index ช่วยติดตามสภาวะเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ว่าภาคธุรกิจของประเทศนั้นกำลังขยายตัวหรือหดตัว และสามารถประเมินผลกระทบต่อค่าเงินได้อย่างแม่นยำ ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับประโยชน์และวิธีการใช้ข้อมูล PMI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรด Forex ให้ดียิ่งขึ้นครับ

⚠️ คำเตือน! เนื้อหาในบทความเป็นเพียงการให้ความรู้เท่านั้น ไม่ได้เชิญชวนหรือแนะนำให้ท่านลงทุนในสินทรัพย์ใด ๆ ดังนั้น จึงควรใช้วิจารณญาณและพิจารณาความเหมาะสมก่อนตัดสินใจใด ๆ⚠️

 

ความหมายของ PMI คืออะไร ?

PMI ย่อมาจาก Purchasing Managers' Index คือ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ เป็นดัชนีที่ใช้วัดความเชื่อมั่นของผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อในภาคธุรกิจต่าง ๆ โดยเฉพาะภาคการผลิตและภาคบริการ ซึ่งจะบ่งชี้ถึงเศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ 

 

ทำไมต้องรู้จัก PMI ?

PMI มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุน นักวิเคราะห์ และประชาชนทั่วไปในการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจและการตัดสินใจทางการเงิน

 

ที่มาของดัชนี PMI (Purchasing Managers' Index)

ดัชนี PMI ถูกจัดทำโดยสองสถาบันหลัก สำหรับสหรัฐอเมริกา ดัชนี PMI จะจัดทำโดย ISM (Institute for Supply Management) ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่มีชื่อเสียงในการศึกษาด้านการจัดการซัพพลายเชนและการจัดซื้อ ขณะที่อีกกว่า 30 ประเทศทั่วโลกจะจัดทำโดย S&P Global (ควบรวมกับ IHS Markit ในปี 2022) ส่วนในประเทศจีน ดัชนี PMI ถูกจัดทำทั้งจากภาครัฐและเอกชน โดยสถาบัน Caixin (Caixin Media Company Ltd) ซึ่งเน้นการสำรวจจากภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก

 

ตัวแปรหลักของดัชนี PMI คืออะไร ?

ตัวเลขของดัชนี PMI จะใช้การสำรวจ (Survey) ผู้ประกอบการเอกชน (ผู้จัดการฝ่ายซื้อ) มากกว่า 400 บริษัท โดยเน้นไปที่การสำรวจ 5 ตัวแปรหลักดังนี้

  • ยอดคำสั่งซื้อใหม่

  • ปริมาณสินค้าคงคลัง

  • สายการผลิต

  • การส่งสินค้าซัพพลาย

  • การจ้างงาน

1. ยอดคำสั่งซื้อใหม่ (New Orders)

ตัวแปรนี้ใช้วัดความต้องการสินค้าและบริการใหม่จากลูกค้า บ่งชี้ถึงภาคการผลิตที่อาจขยายตัวหรือหดตัว ยอดคำสั่งซื้อใหม่ที่สูง หมายถึงเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวในอนาคต

2. ปริมาณสินค้าคงคลัง (Inventory Levels)

การวัดระดับสินค้าคงคลังในบริษัท บ่งชี้ถึงการเตรียมพร้อมสำหรับการผลิตในอนาคต หากสินค้าคงคลังสูง อาจหมายถึงแนวโน้มการผลิตที่เพิ่มขึ้นตามความต้องการ

3. สายการผลิต (Production)

การวัดการผลิตในโรงงานและสถานประกอบการต่าง ๆ จะสะท้อนถึงประสิทธิภาพในการผลิตและการใช้งานทรัพยากรในภาคการผลิต หากสายการผลิตมีความคึกคักและมีการเติบโต ก็จะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจในภาพรวม

4. การส่งสินค้าซัพพลาย (Supplier Deliveries)

ตัวแปรนี้วัดความเร็วในการส่งสินค้าจากซัพพลายเออร์ หากมีความล่าช้าในการส่งมอบสินค้า อาจหมายถึงปัญหาด้านการขนส่งหรืออุปทานที่ขาดแคลน ซึ่งสามารถบ่งชี้ถึงปัญหาทางเศรษฐกิจได้

5. การจ้างงาน (Employment)

ตัวแปรนี้วัดการจ้างงานในภาคธุรกิจ โดยเฉพาะในภาคการผลิตและการบริการ การเพิ่มขึ้นของการจ้างงาน มักบ่งชี้ถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจ และช่วยสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ

 

ประเภทของดัชนี PMI มีกี่แบบ?

PMI สามารถแบ่งออกได้หลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทจะมีความสำคัญในตลาด Forex ดังนี้

ดัชนี PMI ภาคการผลิต (Manufacturing PMI)

ตัวบ่งชี้นี้จะมุ่งเน้นไปที่กิจกรรมในภาคการผลิต เช่น การผลิตสินค้าทางอุตสาหกรรมหรือการผลิตเครื่องจักร หากมีการขยายตัวในภาคการผลิตเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับเศรษฐกิจ

ดัชนี PMI ภาคบริการ (Services PMI)

ตัวบ่งชี้นี้จะมุ่งเน้นไปที่ภาคบริการ เช่น ธุรกิจบริการด้านการเงิน, การขนส่ง และการบริการอื่น ๆ หากภาคบริการขยายตัว จะบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจมีความแข็งแกร่ง

ดัชนี PMI รวม (Composite PMI)

การรวมผลของทั้งภาคการผลิตและภาคบริการ เพื่อให้เห็นภาพรวมของเศรษฐกิจ

 

สูตรคำนวณดัชนี PMI 

 

PMI = (P1x1) + (P2x0.5) + (P3x0)

 

P1 = เปอร์เซ็นต์ของคำตอบที่มีการขยายตัว (ดีขึ้น)

P2 = เปอร์เซ็นต์ของคำตอบที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง (เหมือนเดิม)

P3 = เปอร์เซ็นต์ของคำตอบที่มีการหดตัว (แย่ลง)

 

ดัชนี PMI มีประโยชน์อย่างไร?

 

ดัชนี PMI มีประโยชน์อย่างไร?

 

ดัชนี PMI จะมีค่าอยู่ระหว่าง 0-100 ซึ่งสามารถตีความได้ดังนี้

  • ค่า PMI > 50: หมายความว่าเศรษฐกิจในภาคธุรกิจที่ถูกสำรวจ (เช่น การผลิตและบริการ) กำลังขยายตัว ซึ่งบ่งชี้ถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศนั้น ๆ

  • ค่า PMI = 50: หมายความว่าเศรษฐกิจอยู่ในภาวะทรงตัว ไม่มีการขยายตัวหรือหดตัว

  • ค่า PMI < 50: หมายความว่าเศรษฐกิจในภาคธุรกิจนั้น ๆ กำลังหดตัว ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงปัญหาทางเศรษฐกิจและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

นักลงทุนสามารถใช้ดัชนี PMI ในการวิเคราะห์เศรษฐกิจและตัดสินใจในการลงทุนได้ เนื่องจากจะช่วยให้เข้าใจถึงสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันและอนาคต โดยเป็นสัญญาณบ่งชี้การขยายตัวหรือหดตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภาคธุรกิจและบริการ ข้อมูลนี้สามารถนำไปใช้ในการตัดสินใจในหลายตลาด ไม่ว่าจะเป็นตลาดการเงินหรือหุ้น รวมทั้งผู้ประกอบการสามารถใช้ดัชนี PMI ในการวางแผนการผลิต การจัดหาวัตถุดิบ และการบริหารจัดการสต็อกสินค้าให้สอดคล้องกับสภาวะตลาด

นอกจากนี้ นักลงทุนยังสามารถใช้ดัชนี PMI ในการประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการหดตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อทั้งตลาดหุ้นและตลาด Forex ได้เช่นกัน

 

PMI สำคัญต่อการวิเคราะห์ในตลาด Forex อย่างไร?

สำหรับเทรดเดอร์ในตลาด Forex การติดตามและวิเคราะห์ PMI เป็นสิ่งที่สำคัญ เนื่องจากมันสะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่สามารถส่งผลกระทบต่อค่าเงินของประเทศนั้น ๆ ได้อย่างมาก ตัวอย่างเช่น ถ้า PMI ของสหรัฐฯ แสดงถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจ นักลงทุนอาจจะคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะเติบโตต่อไป ทำให้ค่าเงินดอลลาร์ (USD) แข็งค่าขึ้น

ในทางตรงกันข้าม หาก PMI ของประเทศใดประเทศหนึ่งแสดงถึงการหดตัวของเศรษฐกิจ เทรดเดอร์อาจคาดการณ์ว่าค่าเงินของประเทศนั้น ๆ จะอ่อนค่าลง

 

วิธีการใช้ PMI ในการเทรด Forex

เทรดเดอร์สามารถใช้ข้อมูล PMI ในการเทรด Forex ได้หลายวิธี เช่น

  • การเทรดตามข่าว: เทรดเดอร์อาจทำกำไรจากความผัวผวนตามผล PMI ที่ประกาศออกมา ตัวอย่างเช่น หาก PMI ของประเทศหนึ่งดีเกินคาด อาจวิเคราะห์ได้ว่าเงินสกุลของประเทศนั้นจะมีการแข็งค่าขึ้น ดังนั้น เทรดเดอร์อาจเลือกเปิดตำแหน่งซื้อ (Buy) ในคู่เงินที่เกี่ยวข้อง

  • การเทรดตามแนวโน้ม: หากค่า PMI ของประเทศหนึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เทรดเดอร์อาจคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวในระยะยาว และสามารถเปิดตำแหน่งซื้อในคู่เงินของประเทศนั้น

  • การเทรดตามการหดตัวของ PMI: ในกรณีที่ PMI แสดงถึงการหดตัวของเศรษฐกิจ เทรดเดอร์สามารถเปิดตำแหน่งขาย (Sell) ในคู่เงินของประเทศนั้นเพื่อทำกำไรจากการอ่อนค่าของเงิน

ดัชนีอื่น ๆ ที่สามารถใช้ในการวัดเศรษฐกิจ

PMI ไม่ใช่ตัวชี้วัดเศรษฐกิจเพียงตัวเดียวในการตัดสินใจลงทุน ซึ่งการวิเคราะห์เศรษฐกิจและตลาด Forex เทรดเดอร์ยังคำนึงถึงดัชนีอื่น ๆ เช่น

  • GDP (Gross Domestic Product): ดัชนีนี้บ่งชี้ถึงขนาดของเศรษฐกิจ

  • CPI (Consumer Price Index): ใช้ในการวัดระดับเงินเฟ้อ

  • Unemployment Rate: อัตราการว่างงาน

  • Retail Sales: ยอดขายปลีก

PMI จะให้ข้อมูลที่เน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงของกิจกรรมของธุรกิจในช่วงสั้น ๆ และสามารถช่วยในการคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจในระยะสั้นได้ ขณะที่ดัชนีอื่น ๆ จะสะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจทั้งประเทศในระยะยาว อาทิ GDP หรือ CPI 
โดยสามารถติดตามข่าวต่าง ๆ ได้ที่ Forex Factory 

 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ PMI (Purchasing Managers' Index)

ดัชนี PMI คืออะไร?

       ▶ PMI คือ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ

ดัชนี PMI ย่อมาจากอะไร?

       ▶  PMI ย่อมาจาก Purchasing Managers' Index 

ค่า PMI ที่สูงกว่า 50 หมายความว่าอย่างไร?

       ▶  เมื่อค่า PMI สูงกว่า 50 หมายความว่า เศรษฐกิจในประเทศนั้น ๆ กำลังขยายตัว ซึ่งอาจส่งผลให้ค่าเงินของประเทศนั้น ๆ แข็งค่าขึ้นในตลาด Forex

ค่า PMI ต่ำกว่า 50 หมายความว่าอย่างไร?

       ▶  หากค่า PMI ต่ำกว่า 50 หมายความว่า เศรษฐกิจในประเทศนั้น ๆ กำลังหดตัว หรือมีภาวะถดถอย ซึ่งอาจส่งผลให้ค่าเงินของประเทศนั้นอ่อนค่าลงในตลาด Forex

[template]

  บทความที่น่าสนใจเพิ่มเติม 🔔

 

สรุป PMI (Purchasing Managers' Index)

การใช้ดัชนี PMI (Purchasing Managers' Index) เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์เศรษฐกิจของแต่ละประเทศและมีความสำคัญอย่างยิ่งในการทำนายทิศทางการเคลื่อนไหวของค่าเงินในตลาด Forex เนื่องจาก PMI สามารถสะท้อนถึงสภาพเศรษฐกิจของภาคการผลิตและบริการ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลโดยตรงต่อตลาดการเงิน โดยเฉพาะในระยะสั้น

เมื่อค่า PMI สูงกว่า 50 จะบ่งชี้ถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งมักจะช่วยเสริมความมั่นใจให้นักลงทุนและทำให้สกุลเงินของประเทศนั้นแข็งค่าขึ้น ขณะที่ค่า PMI ต่ำกว่า 50 อาจบ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจหดตัว ซึ่งอาจทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลง อย่างไรก็ตาม การใช้ PMI เพียงตัวเดียวอาจไม่เพียงพอสำหรับการตัดสินใจในการเทรด จึงควรใช้ควบคู่กับข้อมูลเศรษฐกิจอื่น ๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์

⚠️ ข้อมูลในบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้เท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาเชิญชวนหรือแนะนำการลงทุนแต่อย่างใด เนื่องจากการลงทุนทุกรูปแบบมีความเสี่ยง ดังนั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ และเตรียมตัวให้พร้อมในการรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดยการวางแผนและการศึกษาอย่างละเอียดจึงเป็นสิ่งสำคัญก่อนการตัดสินใจลงทุน ⚠️

--------------------------------------------------------

สามารถศึกษาความรู้เพิ่มเติมได้จากแหล่ง ดังต่อไปนี้

อัปเดตข่าวสารการลงทุนในตลาด Forex : คลิกที่นี่

อ่านรีวิวโบรกเกอร์ยอดนิยมที่น่าใช้ : คลิกที่นี่

อ่านรีวิวโบรกเกอร์ที่ควรระวัง : คลิกที่นี่

อ่านบทความเพิ่มเติม : FXBROKERSCAM