List of content

ดัชนี PPI คืออะไร ? เจาะลึก! ความสำคัญของดัชนีราคาผู้ผลิต


ดัชนี PPI คืออะไร ? เจาะลึก! ความสำคัญของดัชนีราคาผู้ผลิต

Producer Price Index หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า PPI เป็นเครื่องมือสำคัญในการวัดภาวะเงินเฟ้อในระดับการผลิต ซึ่งสามารถสะท้อนผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อราคาสินค้าที่ผู้บริโภคต้องเผชิญในอนาคต วันนี้เราจะพาคุณเจาะลึกว่า ดัชนี PPI คืออะไร ? มีความสำคัญอย่างไรในการประเมินเศรษฐกิจและคาดการณ์แนวโน้มในตลาด Forex ครับ

⚠️ คำเตือน! เนื้อหาในบทความเป็นเพียงการให้ความรู้เท่านั้น ไม่ได้เชิญชวนหรือแนะนำให้ท่านลงทุนในสินทรัพย์ใด ๆ ดังนั้น จึงควรใช้วิจารณญาณและพิจารณาความเหมาะสมก่อนตัดสินใจใด ๆ ⚠️

 

ดัชนี PPI คืออะไร ?

ดัชนี PPI (Producer Price Index) คือ ดัชนีราคาผู้ผลิต ซึ่งเป็นดัชนีที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงในราคาสินค้าและบริการของผู้ผลิต ซึ่งมีการคำนวณต้นทุนราคาของสินค้าและบริการในส่วนของภาคการผลิตก่อนที่จะส่งถึงมือลูกค้าหรือผู้บริโภค กล่าวง่าย ๆ คือ PPI จะวัดการเปลี่ยนแปลงของราคาที่ผู้ผลิตหรือธุรกิจได้รับจากการขายสินค้าหรือบริการในระดับต้นของห่วงโซ่การผลิต

รู้หรือไม่ ตัวเลขดัชนี PPI บ่งบอกถึงอะไร ? 

PPI ใช้เพื่อบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อในขั้นตอนการผลิต และสามารถสะท้อนถึงแรงกดดันที่อาจจะเกิดขึ้นกับราคาในอนาคต สำหรับสินค้าหรือบริการที่ผู้บริโภคจะซื้อ โดยหาก PPI เพิ่มขึ้น ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อ CPI (Consumer Price Index) หรือดัชนีราคาผู้บริโภคในระยะยาวได้เช่นกัน

 

Core PPI คืออะไร ?

Core PPI (Core Producer Price Index) คือ ดัชนีราคาผู้ผลิตที่ใช้วัดราคาของสินค้าต่าง ๆ ยกเว้นสินค้าที่มีความผันผวนสูง เช่น อาหารและพลังงาน จุดประสงค์คือ การเน้นไปที่การวัดราคาสินค้าที่มีความเสถียรในกระบวนการผลิต เพื่อให้เห็นภาพรวมของภาวะเงินเฟ้อในระดับการผลิต โดยไม่ให้ถูกกระทบจากปัจจัยที่มีความผันผวนสูง
การใช้ Core PPI ช่วยให้สามารถประเมินแรงกดดันเงินเฟ้อที่แท้จริงในเศรษฐกิจได้ชัดเจนขึ้น เพราะราคาอาหารและพลังงานมักมีการเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ภายนอก เช่น ภัยธรรมชาติ หรือการเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันโลก ซึ่งสามารถทำให้ภาพรวมของเงินเฟ้อคลาดเคลื่อนไปได้

 

PPI กับ Core PPI แตกต่างกันยังไง ?

 

ตัวเลข PPI

ตัวเลข Core PPI

  • วัดการเปลี่ยนแปลงราคาของสินค้าทั้งหมด รวมทั้งสินค้าและบริการที่มีความผันผวนสูง เช่น อาหารและพลังงาน
  • สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงราคาภาพรวมในตลาดผู้ผลิต
  • เหมาะสำหรับการวิเคราะห์ราคาในระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงผลกระทบจากความผันผวนของราคาสินค้า
  • วัดการเปลี่ยนแปลงราคาของสินค้าทั้งหมด ยกเว้นสินค้าที่มีความผันผวนสูง เช่น อาหารและพลังงาน
  • ช่วยให้เห็นแนวโน้มราคาที่แท้จริงและการเปลี่ยนแปลงระยะยาว
  • เหมาะสำหรับการวิเคราะห์แนวโน้มราคาผลิตภัณฑ์ในระยะยาวโดยไม่ถูกผลกระทบจากความผันผวนชั่วคราว

 

PPI กับ CPI แตกต่างกันอย่างไร ?

CPI (Consumer Price Index) และ PPI (Producer Price Index) เป็นดัชนีที่ใช้วัดภาวะเงินเฟ้อ แต่มีวัตถุประสงค์ในการวัดที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ดังนี้

 

ความแตกต่างของดัชนี PPI กับ Core PPI

  • CPI วัดการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการที่ผู้บริโภคจ่ายสำหรับการบริโภค

  • PPI วัดการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการที่ผู้ผลิตหรือธุรกิจขายให้กับธุรกิจอื่น ๆ ก่อนที่จะถึงมือผู้บริโภค

การเปลี่ยนแปลงของ PPI มักจะมีผลกระทบต่อ CPI โดยเฉพาะในระยะยาว เพราะราคาผู้ผลิตที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลให้ผู้บริโภคต้องจ่ายราคาที่สูงขึ้นในอนาคต

 

วิธีการคำนวณดัชนี PPI

การคำนวณ PPI จะคำนวณโดยการเปรียบเทียบราคาของสินค้าปีปัจจุบันกับราคาของสินค้าปีอ้างอิง ซึ่งจะได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์ที่บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของราคา

สูตรการคำนวณ PPI 

 

PPI = [(ราคาปีปัจจุบัน ÷ ราคาปีอ้างอิง) x 100]

โดย

  • ราคาปีปัจจุบัน คือ ราคาของสินค้าในปีที่เรากำลังคำนวณ
  • ราคาปีอ้างอิง คือ ราคาของสินค้าที่เป็นปีอ้างอิง
  • PPI ที่ได้จะเป็นตัวเลขที่บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงราคา

ตัวอย่างการคำนวณ PPI

หากเรามีข้อมูลราคาสินค้าในปี 2023, 2024 และ 2025 ดังนี้

สินค้า ปี 2023 ปี 2024 ปี 2025
ผลิตภัณฑ์ A 100 105 110
ผลิตภัณฑ์ B 120 125 130
ผลิตภัณฑ์ C 150 155 160

 

เราจะใช้ ปี 2023 เป็นปีอ้างอิง แล้วคำนวณ PPI สำหรับปี 2024 และ 2025 โดยใช้สูตร PPI = [(ราคาปีปัจจุบัน ÷ ราคาปีอ้างอิง) x 100]

การคำนวณ PPI สำหรับผลิตภัณฑ์ A

 ปี 2024

PPI (2024) = [(ราคาปีปัจจุบัน ÷ ราคาปีอ้างอิง) x 100]

                    =  [(105 ÷ 100) x 100]

                    = 105

 

หมายความว่า ราคาผลิตภัณฑ์ A ในปี 2024 สูงขึ้น 5% จากปี 2023

 

ปี 2025

PPI (2025) = [(ราคาปีปัจจุบัน ÷ ราคาปีอ้างอิง) x 100]

                    = [(110 ÷ 100) x 100]

                    = 110

 

หมายความว่า ราคาผลิตภัณฑ์ A ในปี 2025 สูงขึ้น 10% จากปี 2023

การคำนวณ PPI สำหรับผลิตภัณฑ์ B

ปี 2024

PPI (2024) = [(ราคาปีปัจจุบัน ÷ ราคาปีอ้างอิง) x 100]

                    = [(125 ÷ 120) x 100]

                    = 104.17

 

หมายความว่า ราคาผลิตภัณฑ์ B ในปี 2024 สูงขึ้น 4.17% จากปี 2023

 

ปี 2025

PPI (2025) = [(ราคาปีปัจจุบัน ÷ ราคาปีอ้างอิง) x 100]

                    = [(130 ÷ 120) x 100]

                    = 108.33

 

หมายความว่า ราคาผลิตภัณฑ์ B ในปี 2025 สูงขึ้น 8.33% จากปี 2023

การคำนวณ PPI สำหรับผลิตภัณฑ์ C

ปี 2024

PPI (2024) = [(ราคาปีปัจจุบัน ÷ ราคาปีอ้างอิง) x 100]

                    = [(155 ÷ 150) x 100]

                    = 103.33

 

หมายความว่า ราคาผลิตภัณฑ์ C ในปี 2024 สูงขึ้น 3.33% จากปี 2023

 

ปี 2025

PPI (2025) = [(ราคาปีปัจจุบัน ÷ ราคาปีอ้างอิง) x 100]

                    = [(160 ÷ 150) x 100]

                    = 106.67

 

หมายความว่า ราคาผลิตภัณฑ์ C ในปี 2025 สูงขึ้น 6.67% จากปี 2023

การอ่านค่าตัวเลข PPI หลังจากการคำนวณ

  • PPI ที่สูงกว่า 100 หมายถึง ราคาของสินค้าในปีนั้น ๆ สูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีอ้างอิง ซึ่งอาจสะท้อนถึงสภาวะเงินเฟ้อ
  • PPI ที่เท่ากับ 100 หมายถึง ราคาของสินค้าในปีนั้น ๆ ไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับปีอ้างอิง
  • PPI ที่ต่ำกว่า 100 หมายถึง ราคาของสินค้าในปีนั้น ๆ ลดลงเมื่อเทียบกับปีอ้างอิง ซึ่งอาจสะท้อนถึงสภาวะเงินฝืด

ในตัวอย่างนี้ ทุกผลิตภัณฑ์มีค่า PPI มากกว่า 100 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ราคาสินค้าในปี 2024 และ 2025 สูงขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2023 สะท้อนถึงสภาวะเงินเฟ้อนั่นเองครับ

 

ดัชนี PPI สำคัญอย่างไรต่อเศรษฐกิจ ?

ดัชนี PPI มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจ เพราะเป็นตัวชี้วัดที่ใช้ในการประเมินภาวะเงินเฟ้อในระดับต้น ๆ ของห่วงโซ่การผลิต และสามารถส่งสัญญาณถึงทิศทางของราคาผู้บริโภคในอนาคต 

  • หากตัวเลข PPI เพิ่มสูงขึ้นกว่าที่คาดไว้ อาจเป็นสัญญาณว่า แรงกดดันด้านราคาจะถูกถ่ายโอนไปยังผู้บริโภคในอนาคต ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อสูง
  • ในทางกลับกัน หากตัวเลข PPI ลดต่ำลงกว่าที่คาดไว้ อาจเป็นสัญญาณว่า ราคาสินค้าจะมีแนวโน้มลดลงหรือมีความต้องการลดลง ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะเงินฝืด
นอกจากนี้ ตัวเลขดัชนี PPI ยังมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของธนาคารกลางในการปรับอัตราดอกเบี้ย เมื่อตัวเลข PPI เพิ่มขึ้น ธนาคารกลางอาจมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ แต่หากตัวเลข PPI ลดลง ธนาคารกลางอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในภาวะเงินฝืด
 

การใช้ดัชนี PPI วิเคราะห์การลงทุน

การใช้ PPI (Producer Price Index) วิเคราะห์การลงทุนสามารถใช้ได้หลายวิธี โดยนิยมใช้ในการคาดการณ์ทิศทางของตลาดการเงินและประเมินภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในการลงทุนสินทรัพย์ต่าง ๆ เช่น หุ้น, พันธบัตร หรือสินค้าโภคภัณฑ์ ทำให้สามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอน 

 

1. การคาดการณ์เงินเฟ้อ

หาก PPI เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แสดงว่า ภาวะเงินเฟ้ออาจจะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต ซึ่งจะทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ, น้ำมัน หรือโลหะมีค่า อาจมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดแรงกดดันจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น 

เคล็ดลับ: หากตัวเลข PPI เพิ่มขึ้นบ่งชี้ว่า ต้นทุนสินค้าในภาคการผลิตสูงขึ้น นักลงทุนอาจพิจารณาลงทุนในสินทรัพย์ที่ได้รับประโยชน์จากเงินเฟ้อ เช่น ทองคำ, สินค้าพลังงาน หรืออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับวัสดุและโลหะ

 

2. คาดการณ์การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น

การเปลี่ยนแปลงของตัวเลข PPI มีผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น โดยเฉพาะหุ้นในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าและบริการ ตัวอย่างเช่น หุ้นของบริษัทในอุตสาหกรรมพลังงาน, การผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค และวัสดุก่อสร้าง ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น หาก PPI เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

เคล็ดลับ: เมื่อตัวเลข PPI สูงขึ้น นักลงทุนควรระวังหุ้นในอุตสาหกรรมที่มีต้นทุนการผลิตสูง หรือเลือกลงทุนในอุตสาหกรรมที่สามารถปรับราคาสินค้าได้ เช่น อุตสาหกรรมพลังงานหรืออุตสาหกรรมที่มีอำนาจในการตั้งราคา (Pricing Power)

 

3. การประเมินอัตราดอกเบี้ย

การเปลี่ยนแปลงใน PPI สามารถเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญสำหรับการตัดสินใจของธนาคารกลาง (FED) เกี่ยวกับการปรับอัตราดอกเบี้ย หาก PPI เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจทำให้ธนาคารกลางปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นเพื่อควบคุมการขยายตัวของเงินเฟ้อ ซึ่งจะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดการเงินทั้งในแง่ของหุ้นและพันธบัตร

เคล็ดลับ: นักลงทุนที่มีการลงทุนในพันธบัตรหรือหุ้นที่อ่อนไหวต่อการปรับอัตราดอกเบี้ยควรเฝ้าระวังตัวเลข PPI เพื่อคาดการณ์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในนโยบายการเงินของธนาคารกลางและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

 

4. การใช้ PPI ร่วมกับตัวชี้วัดอื่น ๆ

การใช้ PPI ร่วมกับดัชนี CPI (Consumer Price Index) และดัชนี Core PPI จะช่วยให้สามารถประเมินภาวะเงินเฟ้อและการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนในเศรษฐกิจได้ดีขึ้น ซึ่งสามารถช่วยนักลงทุนในการตัดสินใจเลือกสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นได้

เคล็ดลับ: เมื่อตัวเลขดัชนี PPI และ Core PPI มีการเพิ่มขึ้นพร้อมกัน นักลงทุนอาจมองหาสินทรัพย์ที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อ แต่หากตัวเลขทั้งสองลดลง อาจจะต้องพิจารณาการลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า เช่น พันธบัตรรัฐบาล ครับ

 

5. การใช้ PPI ในการลงทุนระยะยาว

PPI เป็นเครื่องมือที่สามารถใช้ในการคาดการณ์แนวโน้มในระยะยาวเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อและการเติบโตทางเศรษฐกิจ หากการเปลี่ยนแปลงของ PPI สะท้อนถึงแนวโน้มของภาวะเงินเฟ้อที่มีความยั่งยืน นักลงทุนสามารถใช้ข้อมูลนี้ในการปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับภาวะเงินเฟ้อในอนาคตได้ครับ

เคล็ดลับ: ในระยะยาว หาก PPI แสดงถึงการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิตอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนอาจพิจารณาลงทุนในสินทรัพย์ที่สามารถป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อได้ เช่น อสังหาริมทรัพย์หรือสินทรัพย์ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อ

 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ FED

ดัชนี PPI คืออะไร ?

       ▶ ดัชนี PPI คือ ดัชนีราคาผู้ผลิต ซึ่งเป็นดัชนีที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าและบริการของผู้ผลิต

PPI ย่อมาจากอะไร ?

       ▶ PPI ย่อมาจาก Producer Price Index 

ตัวเลขดัชนี PPI สำคัญอย่างไร ?

       ▶  PPI เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการวัดภาวะเงินเฟ้อในขั้นตอนแรกของกระบวนการผลิต และยังสามารถใช้ในการคาดการณ์ทิศทางของราคาผู้บริโภคในอนาคตได้

ดัชนี PPI และ CPI ต่างกันอย่างไร ?

       ▶  ดัชนี PPI คือ การวัดการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าในระดับการผลิต ขณะที่ดัชนี CPI คือ ใช้วัดราคาสินค้าและบริการที่ผู้บริโภคจ่าย

[template]

  บทความที่น่าสนใจเพิ่มเติม 🔔

 

สรุปดัชนี PPI

ดัชนี PPI เป็นเครื่องมือสำคัญในการติดตามการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการจากฝั่งผู้ผลิต ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในการประเมินภาวะเงินเฟ้อในขั้นตอนแรกของห่วงโซ่การผลิต โดยการเพิ่มขึ้นของ PPI อาจส่งผลให้ราคาผู้บริโภคสูงขึ้นในอนาคต และส่งผลต่อการตัดสินใจของธนาคารกลาง (FED) รวมถึงการเคลื่อนไหวของตลาดการเงิน นักลงทุนสามารถใช้ข้อมูลจาก PPI ในการคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจและตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

⚠️ ข้อมูลในบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้เท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาเชิญชวนหรือแนะนำการลงทุนแต่อย่างใด เนื่องจากการลงทุนทุกรูปแบบมีความเสี่ยง ดังนั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ และเตรียมตัวให้พร้อมในการรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดยการวางแผนและการศึกษาอย่างละเอียดจึงเป็นสิ่งสำคัญก่อนการตัดสินใจลงทุน ⚠️

--------------------------------------------------------

สามารถศึกษาความรู้เพิ่มเติมได้จากแหล่ง ดังต่อไปนี้

อัปเดตข่าวสารการลงทุนในตลาด Forex : คลิกที่นี่

อ่านรีวิวโบรกเกอร์ยอดนิยมที่น่าใช้ : คลิกที่นี่

อ่านรีวิวโบรกเกอร์ที่ควรระวัง : คลิกที่นี่

อ่านบทความเพิ่มเติม : FXBROKERSCAM